ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการบริหารการเงิน

รูปแบบองค์กรธุรกิจ
 - ธุรกิจเจ้าของคนเดียว
 - ห้างหุ้นส่วน  (Partnership) 
 - บริษัท  (Company) 

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการบริหารการเงิน

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการบริหารการเงิน (An Overview of Financial Management) 

          ปัจจุบันธุรกิจต้องเผชิญกับการแข่งขันสูงมากภายใต้ระบบการค้าเสรี ดังนั้นแต่ละองค์การต้องปรับตัวให้พร้อมที่จะสามารถเอาชนะคู่แข่งขันได้  โดยอาศัยปัจจัยในการดำเนินงานที่สำคัญ ซึ่งแต่เดิมจะคุ้นเคยกับ 4 M’s คือ Man , Money , Material และ Management ในปัจจุบันคงจะไม่เพียงพอถ้าต้องการที่จะทำให้องค์กรดำเนินงานอยู่ได้และมีความเจริญก้าวหน้า องค์กรจะต้องมีข่าวสารหรือข้อมูลที่รวดเร็วและทันสมัย โดยเฉพาะเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) องค์กรต้องบริหารปัจจัยเหล่านี้ที่มีอยู่อย่างจำกัดให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดโดยนำหลักบริหารเข้ามาใช้ในทุก ๆ ปัจจัย ซึ่งถือว่ามีความจำเป็นและสำคัญเป็นอย่างมาก
          สำหรับวิชาการเงินธุรกิจ จะเน้นการศึกษาบทบาทและความสำคัญของ “เงินทุน (money)” ที่มีต่อองค์กร หลักการบริหารเงินทุน บทบาทที่สำคัญของผู้บริหารการเงินขององค์กรแต่ละรูปแบบ นอกจากนี้ผู้บริหารยังต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการบริหารการเงิน เลยทีเดียว

   

 

รูปแบบองค์กรธุรกิจ


หน้าที่และความรับผิดชอบของผู้บริหารการเงิน (The Financial Staff’s Responsibilities) 
          ไม่ว่าธุรกิจจะมีรูปแบบองค์กรเป็นอย่างไรก็ตาม จะเป็นกิจการขนาดเล็ก ขนาดกลางหรือขนาดใหญ่  ผู้บริหารการเงินจะมีหน้าที่หลักในการบริหารเพื่อทำให้เกิด มูลค่าเพิ่มแก่กิจการ  นั่นหมายถึงการบริหารเพื่อให้เกิดผลกำไรและขยายกิจการให้เกิดความเจริญ เติบโตในอนาคตอันจะส่งผลให้เกิดมูลค่าเพิ่มสูงสุดแก่กิจการ  (Maximizing Value of the Firm)  ดังนั้นหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้บริหารการเงินจะมี 5 ประการคือ 

  •   หน้าที่ในการพยากรณ์และวางแผน (Forecasting and Planning)
  •   หน้าที่ในการตัดสินใจลงทุนและจัดหาเงินทุน (Investment and Financing Decision)
  •   หน้าที่ในการประสานงานและควบคุม (Coordination and Control)
  •   หน้าที่ในการเป็นตัวแทนขององค์กรทำการติดต่อกับตลาดการเงิน (Dealing with the Financial Market)
  •   หน้าที่ในการบริหารความเสี่ยง (Risk Management)

 

หน้าที่ในการพยากรณ์และวางแผน  (Forecasting and Planning) 

      ผู้บริหารการเงินจะมีหน้าที่ในการประสานงานกับฝ่ายต่าง ๆ ขององค์กรเพื่อรับข้อมูลอันเป็นประโยชน์ต่อการพยากรณ์ และวางแผนทางการเงิน ซึ่งการพยากรณ์และการวางแผนสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ การพยากรณ์และการวางแผนการเงินระยะสั้น การพยากรณ์และการวางแผนการเงินระยะยาว เพื่อพยากรณ์หรือคาดการณ์เกี่ยวกับการรับและจ่ายเงินสดของกิจการว่าเป็นอย่างไร ในแต่ละเดือนมีเงินสดส่วนเกินหรือเงินสดขาดมือจำนวนเท่าใด ซึ่งช่วยให้ผู้บริหารสามารถวางแผนว่าถ้าในเดือนที่กิจการมีเงินสดส่วนเกินควรนำเงินไปลงทุนอย่างไร หรือเดือนใดที่เงินสดขาดมือ ควรจัดหาเงินสดมาจากแหล่งใด การพยากรณ์และวางแผนการเงินระยะสั้นนี้ช่วยให้กิจการได้ใช้เงินทุนระยะสั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุดและรักษาสภาพคล่องของกิจการอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการพิจารณาการตัดสินใจลงทุน ซึ่งกิจการต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูง  โดยให้ผลตอบแทนในระยะยาว จึงจำเป็นต้องทำการพิจารณาให้รอบคอบก่อนการตัดสินใจลงทุนข้อมูลที่นำมาประกอบการตัดสินใจต้องเป็นข้อมูลที่มีความแม่นยำเพื่อให้การวิเคราะห์นั้นตรงกับความเป็นจริงมากที่สุด จึงสามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการวางแผนเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

หน้าที่ในการตัดสินใจลงทุนและจัดหาเงินทุน (Investment and Financial Decision)

ปัญหาการตัดสินใจของผู้บริหารการเงินแบ่งเป็น 2 ประเภทคือปัญหาการตัดสินใจระยะสั้น เช่น ปัญหาในกรณีที่กิจการจะทำการผลิตชิ้นส่วนเอง หรือซื้อปัญหาว่าควรขายสินค้า หรือผลิตต่อแล้วขาย หรือปัญหาว่าควรยกเลิกสินค้าที่มีผลขาดทุนหรือไม่ปัญหาการตัดสินใจระยะยาวซึ่งหมายถึงโครงการลงทุนต่าง ๆ  เช่น การสร้างโรงงานแห่งใหม่เพื่อทดแทนโรงงานเดิม  การผลิตสินค้าใหม่เพิ่มเติม เป็นต้น 
     ไม่ว่าจะเป็นปัญหาระยะสั้นหรือระยะยาว  การตัดสินใจจะมีประเด็นที่สำคัญอยู่ 2 ประการคือ การ ตัดสินใจจัดหาเงินทุน และการตัดสินใจใช้เงินลงทุน โดยมีหลักการว่า ในการจัดหาเงินทุนควรเป็นแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนต่ำที่สุดและความเสี่ยงต่ำที่สุด  โดยเงินทุนจะได้มาจากหนี้สินและส่วนของเจ้าของ  ซึ่งเงินทุนจากส่วนนี้จะมีต้นทุนในรูปของดอกเบี้ยจ่ายซึ่งจะต่ำกว่า เงินทุนจากส่วนของเจ้าของที่จะมีต้นทุนในรูปของเงินปันผลหรือกำไร(ขาดทุน) นอกจากนี้ความเสี่ยงก็ต่ำกว่าด้วย
    การตัดสินใจนำเงินทุนไปใช้ แบ่งออกเป็น 2 ทางคือ ใช้ลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนซึ่งจะทำให้กิจการมีสภาพคล่องสูง  แต่ความสามารถในการทำกำไรจะต่ำกว่า เมื่อเทียบกับการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร

 

หน้าที่ในการประสานงานและควบคุม  (Coordination and Control) 

     ในการปฏิบัติงานผู้บริหารการเงินจะต้องประสานงานกับฝ่ายต่าง ๆ ในการดำเนินกิจการเพื่อมั่นใจว่ากิจการจะมีผลการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ  การตัดสินใจทุก ๆ ด้านของกิจการจะต้องมีส่วนสัมพันธ์หรือมีผลกับเรื่องของการเงินเสมอ เช่น การตัดสินใจด้านการตลาดเกี่ยวกับการออกผลิตภัณฑ์ใหม่จะมีผลกระทบต่อความต้องการในการขยายการลงทุน การจัดหาเงินทุนจากแหล่งเงินทุนที่เหมาะสม ผลกระทบต่อความต้องการในการขยายการลงทุน การจัดหาเงินลงทุนจากแหล่งเงินทุนที่เหมาะสม ผลกระทบต่อนโยบายสินค้าคงคลังและความสามารถในการใช้กำลังการผลิตอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ การดำเนินงานเหล่านี้จะเกิดประสิทธิภาพได้จะต้องอาศัยการประสานงานกันระหว่างฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อที่จะนำข้อมูลมาช่วยตัดสินใจในการวางแผนอันเป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน  ขณะเดียวกันก็สามารถควบคุมการดำเนินงานโดยการตรวจสอบและประเมินผลตลอดระยะเวลาการปฏิบัติงานว่าเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้หรือไม่

 

หน้าที่ในการเป็นตัวแทนองค์กรทาการติดต่อกับตลาดการเงิน (Dealing with the Financial Market) 
     ผู้บริหารการเงินจำเป็นต้องติดต่อตลาดการเงินเพื่อการระดมทุน  โดยสามารถแบ่งตลาดการเงินออกได้เป็น2 ตลาดดังนี้ ตลาดการเงิน (The Financial Market) ตลาดเงิน(Money Market) ตลาดทุน (Capital Market)  ทำหน้าที่ในการระดมเงินทุนระยะสั้นที่มีอายุการชำระหนี้ ไม่เกิน 1 ปี แหล่งเงินทุนหรือสถาบันที่ทำหน้าที่เป็นตลาดเงินได้แก่  เจ้าหนี้การค้า เงินเบิกเกินบัญชี (overdraft account) ตลาดรับซื้อคืน (Reperchase Market ) แต่ละตลาดมีหน้าที่ในการระดมเงินทุนหรือจัดหาเงินทุนให้แก่ธุรกิจโดย ทำหน้าที่ในการระดมเงินทุนระยะยาวที่มีอายุการชำระหนี้เกิน 1 ปี  โดยมีแหล่งเงินทุน ได้แก่ เงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงิน ตลาดหลักทรัพย์ ตลาดOTC  
     ดังนั้นการที่ธุรกิจจัดหาเงินทุนต้องพิจารณาวัตถุประสงค์ว่าจะนำเงินไปลงทุนอะไร ถ้าลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียน ควรจัดหาเงินทุนจากตลาดเงิน  แต่ถ้าต้องการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรควรจัดหาเงินทุนจากตลาดทุน  โดยพิจารณาเงินทุนแต่ละแหล่งว่ามีต้นทุนของเงินทุนและความเสี่ยงเป็นอย่างไร  ซึ่งผู้บริหารควรเลือกแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนและความเสี่ยงต่ำสุด

 

หน้าที่ในการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) 

     กิจการทุก ๆ แห่งต้องเผชิญกับความเสี่ยง 2 ลักษณะ คือ 

  • ความเสี่ยงนอกระบบ (Unsystematic Risk)  เป็นความเสี่ยงอันเกิดจากภายในองค์กร และองค์การสามารถควบคุมได้ขึ้นอยู่กับผู้บริหารขององค์กรว่ามีความสามารถบริหารงานเพื่อขจัดความเสี่ยงได้มากน้อยเพียงใด เช่น ความเสี่ยงเรื่องสภาพคล่องทางการเงินของกิจการ 
  • ความเสี่ยงภายในระบบ (Systematic Risk)  ความเสี่ยงอันเกิดจากภายนอกกิจการ เป็นความเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้  ผู้บริหารต้องมีความสามารถในการพยากรณ์ทิศทางหรือแนวโน้มการเปลี่ยนแปลง เช่น การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate) หรืออัตราการแลกเปลี่ยนเงินตรา (Foreign Exchange Rate)  การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ประชากรศาสตร์ 

     ในการจัดตั้งองค์กรธุรกิจ  สามารถจัดตั้งได้หลายรูปแบบด้วยกันขึ้นอยู่กับขนาดของธุรกิจ ลักษณะและขนาดของเงินทุน  หรือขอบข่ายความต้องการในการบริหารงานของเจ้าของกิจการ  โดยแต่ละรูปแบบจะมีขั้นตอนการจัดตั้ง ลักษณะองค์กรตลอดจนข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึงรูปแบบขององค์กรธุรกิจที่สำคัญ 3 รูปแบบคือ 

  •   กิจการเจ้าของคนเดียว (Sole Proprietorship)
  •   ห้างหุ้นส่วน (Partnership)
  •   บริษัท  (Company)

T o p

 

 

      กิจการเจ้าของคนเดียว(Sole Proprietorship)

     แหล่งเงินทุนในส่วนของเจ้าของกิจการจะได้มาจากเจ้าของกิจการเพียงคนเดียวเท่านั้น ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับกิจการขนาดเล็กโครงสร้างองค์กรไม่ยุ่งยากซับซ้อน และกิจการจะมีสภาพเป็นบุคคลธรรมดา 
ข้อดี 

  • รูปแบบองค์กรไม่สลับซับซ้อน
  • ง่ายต่อการจัดตั้งเพราะไม่ต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลและใช้เงินทุนต่ำ
  • เสียภาษีเงินได้แบบบุคคลธรรมดา ซึ่งจะทำให้กิจการเสียภาษีต่ำลง
  • การตัดสินใจในการบริหารงานสะดวกและรวดเร็วเพราะขึ้นอยู่กับเจ้าของกิจการเพียงคนเดียว
  • กรณีที่กิจการมีผลกำไร  ก็จะเป็นของเจ้าของเพียงคนเดียว 

ข้อเสีย

  • กิจการเจ้าของคนเดียวมีเงินทุนจำกัด
  • เนื่องจากเงินทุนมีจำกัด การขยายกิจการจึงทำได้ยาก
  • โอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจมีน้อย
  • กรณีที่กิจการมีผลขาดทุน เจ้าของกิจการต้องรับผิดชอบผลขาดทุนแต่เพียงผู้เดียว
  • ความรู้ความสามารถในการบริหารงานจำกัดเพียงบุคคลคนเดียว คือเจ้าของกิจการเท่านั้น
  • ลูกจ้างของกิจการขาดความก้าวหน้า เนื่องจากกิจการขนาดเล็ก 

         ดังนั้นกิจการเจ้าของคนเดียวจึงถือเป็นรูปแบบขององค์กรธุรกิจที่เกิดขึ้นเป็นประเภทแรกและส่วนใหญ่จะเป็นกิจการขนาดเล็ก  อย่างไรก็ตามธุรกิจไทยส่วนมากจะเริ่มจากกิจการเจ้าของคนเดียวและแปรสภาพมาเป็นรูปของบริษัทในเวลาต่อมาเพื่อต้องการที่จะสร้างความเจริญเติบโตให้แก่กิจการ  เพราะกิจการเจ้าของคนเดียวจะมีความเสียเปรียบในการแข่งขัน  เมื่อเทียบกับธุรกิจในรูปแบบอื่น ๆ

T o p

 

 

 

      ห้างหุ้นส่วน (Partnership)

    กิจการที่เกิดจากการจัดทำข้อตกลงหรือสัญญาของบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ว่าด้วยเรื่องของการลงทุนร่วมกัน เพื่อประสงค์ที่จะร่วมแบ่งปันผลกำไรและผลขาดทุนอันเกิดจากการดำเนินกิจการ ซึ่งข้อตกลงหรือสัญญาระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วนอาจจะมีขึ้นด้วยวาจาหรือลายลักษณ์อักษร การร่วมลงทุนนั้นผู้เป็นหุ้นส่วนสามารถนำเอาเงินสดทรัพย์สินอื่น ๆ หรือแรงงานมารลงทุนก็ได้  แล้วแต่ข้อตกลงหรือสัญญาที่ระบุไว้  กิจการห้างหุ้นส่วนสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทคือ

          •   ห้างหุ้นส่วนสามัญ
          •   ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล
          •   ห้างหุ้นส่วนจำกัด
  • เกิดจากการร่วมทุนของผู้เป็นหุ้นส่วนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
  • อาจตกลงกันด้วยวาจาหรือจัดทำเป็นลายลักษณ์อักษรก็ได้
  • ผู้เป็นหุ้นส่วนรับผิดชอบต่อหนี้สินของห้างหุ้นส่วนโดยไม่จำกัดจำนวน
  • ไม่ต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล
  • การดำเนินงานภายใต้ธุรกรรมต่าง ๆ ไม่สามารถใช้ชื่อห้างได้
  • ต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล
  • สามารถใช้ชื่อห้างทำธุรกรรมต่าง ๆ ได้
  • รับผิดชอบในหนี้สินของกิจการไม่จำกัดจำนวน 
  • ผู้เป็นหุ้นส่วนแบ่งเป็น 2 ประเภท
    • จำกัดความรับผิดชอบในหนี้สินจำกัดจำนวน
    • ไม่จำกัดความรับผิดขอบในหนี้สิน 
       

 

ห้างหุ้นส่วนสามัญ ,ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล ,ห้างหุ้นส่วนจำกัด
 ข้อดี - ข้อเสียของกิจการห้างหุ้นส่วน 
ข้อดี 

  •   ง่ายต่อการจัดตั้ง เพราะจดทะเบียนหรือไม่จดทะเบียนก็ได้  ขึ้นอยู่กับว่าจัดตั้งห้างหุ้นส่วนประเภทใด
  •   สามารถจัดหาเงินทุนได้มากกว่ากิจการแบบเจ้าของคนเดียว เพราะเงินทุนได้มาจากผู้เป็นหุ้นส่วน
  •   ประสิทธิภาพในการบริหารสูงขึ้น  เพราะความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่นำมาใช้ในการบริหารมิได้มาจากบุคคลเพียงคนเดียว
  •   ค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งกิจการห้างหุ้นส่วนต่ำ

ข้อเสีย 

  •   การที่มีผู้เป็นหุ้นส่วนร่วมลงทุนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป  ดังนั้นผู้เป็นหุ้นส่วนชนิดไม่จำกัดความรับผิดชอบจะมีอำนาจในการบริหารงาน  ซึ่งอาจทำให้เกิดความขัดแย้ง และเกิดความล่าช้าในการตัดสินใจ
  •   กรณีที่เป็นหุ้นส่วนประเภทรับผิดในหนี้สินของห้างโดยไม่จำกัดจำนวนจะมีความเสี่ยงสูงในการรับผิดชอบชดใช้หนี้สินของห้างด้วยสินทรัพย์ส่วนของตน
  •   อาจขาดความต่อเนื่องในการดำเนินงาน  ถ้าหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งตาย ถอนตัวหรือประกาศยกเลิกกิจการตามกฎหมาย

T o p

 

 

 

      บริษัท (Company)

     เป็นกิจการที่มีวิธีการระดมเงินทุนโดยการแบ่งทุนเป็นหุ้น มูลค่าหุ้น ๆ ละเท่า ๆ กัน  จำนวนหุ้นจะมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับขนาดของกิจการ  การจัดตั้งธุรกิจในรูปแบบของบริษัทได้รับความนิยมสูงสุด  เนื่องจากสามารถจัดหาหรือระดมเงินทุนได้ง่าย นอกจากนี้บริษัทยังสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

        •    บริษัทจำกัด (Limited Company)
        •    บริษัทมหาชนจำกัด (Public Company)

บริษัทจำกัด 

  •   ผู้ถือหุ้นไม่ถึง 100 คนรวมทั้งนิติบุคคลด้วย
  •   มูลค่าหุ้นไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 5 บาท
  •   ผู้ถือหุ้นรับผิดชอบหนี้สินของบริษัทจำกัดจำนวนเท่า

   ที่ลงทุนไป

  • ผู้เริ่มก่อการ 7 คนขึ้นไป

บริษัทมหาชนจำกัด 

  •   มีผู้ถือหุ้นตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป รวมทั้งนิติบุคคล
  •   ผู้ถือหุ้นรับผิดชอบจำกัดไม่เกินค่าหุ้นที่ต้องชำระ
  •   มีผู้ร่วมก่อการ 15 คนขึ้นไป

 

ข้อดี

  • ได้เปรียบในการแข่งขัน เพราะธุรกิจในรูปแบบของบริษัท  จะมีขนาดกิจการค่อนข้างใหญ่ ซึ่งจะมีความได้เปรียบในเรื่องของต้นทุนต่อหน่วย
  • ผู้ลงทุนจะรับผิดชอบจำกัดจำนวนเท่ากับเงินที่ลงทุนในหุ้น
  • ง่ายต่อการเลิกลงทุน  โดยวิธีการขายหุ้นต่อให้แก่นักลงทุนรายอื่น ๆ
  • อายุของกิจการค่อนข้างต่อเนื่อง  เพราะกิจการในรูปของบริษัทมีฐานะเป็นนิติบุคคลหากผู้ถือหุ้นรายใดรายหนึ่งถอนหุ้น  ตาย หรือผู้บริหารไร้วความสามารถจะไม่มีผลทำให้บริษัทต้องเลิกกิจการ
  • สามารถระดมเงินได้ง่าย จึงมีความได้เปรียบในเรื่องขนาดของเงินทุน

ข้อเสีย

  • การก่อตั้งทำได้ยาก เพราะต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล
  • เสียค่าใช้จ่ายในการก่อตั้งสูง เพราะจะต้องเสียเงินค่าจดทะเบียนและเสียเวลา
  • ใช้เงินทุนค่อนข้างสูง
  • จะต้องปฏิบัติภายใต้ข้อบังคับกฎหมาย เพราะธุรกิจที่เกิดจากเงินลงทุนคนจำนวนมาก ดังนั้นทางการจึงต้องเข้ามากำกับดูแล  รักษาผลประโยชน์ของผู้ลงทุนรายย่อยเพื่อไม่ก่อให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบกันระหว่างผู้ลงทุน
  • เสียภาษีซ้ำซ้อน คือ จะต้องเสียภาษีจากกำไรสุทธิของบริษัท อีกทั้งกำไรที่นำมาจ่ายเป็นเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น  ก็จะต้องเสียภาษีอีกครั้งหนึ่ง
  • จะต้องเปิดเผยข้อมูลประจำปีให้สาธารณชนรับทราบ

T o p